กระแสการปฏิรูปการศึกษา
ถ้าจะกล่าวถึงคำว่า “ กระแส ” ในอดีต มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของธรรมชาติ เช่น กระแสลม กระแสน้ำ
กระแสอากาศ เป็นต้น ในพจนานุกรม ได้อธิบายว่า กระแสคือน้ำหรือลม ที่ไหลหรือพัดเรื่อยเป็นแนวเป็นทางไปไม่ขาดสาย
ดังนั้น
อะไรก็ตามที่เคลื่อนที่ไปไม่หยุดนิ่งแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นก็มักจะเรียกว่า กระแส
ในปัจจุบันสังคมทั่วไปมีความคุ้นเคยกับคำว่ากระแสมนุษย์สร้างขึ้น ถ้าต้องการให้เรื่องใดได้รับความสนใจก็จะมีการสร้างกระแส
ถ้าหากการสร้างกระแสนั้นมุ่งประโยชน์ส่วนรวม หรือมุ่งพัฒนาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ก็จะนำไปสู่การรวมพลังเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์ แต่ถ้าการสร้างกระแสเพื่อกลบเกลื่อนความจริง
หรือมุ่งประโยชน์ต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือ ทำลายล้างสิ่งที่มีอยู่
ก็จะนำไปสู่ความสับสนและการเสื่อมถอย กระแสที่มักจะถูกสร้างขึ้นได้แก่ กระแสการเมือง
กระแสวัฒนธรรม กระแสต่อต้านโครงการต่างๆ เป็นต้น ในยุคโลกาภิวัฒน์ ก็เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงในหลาย
ๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม
รวมถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา หรือเรียกสั้นๆ ว่า กระแสปฏิรูปการศึกษา
กระแสปฏิรูปการศึกษา เกิดจากการผลักดัน จากสถานการณ์ต่าง ๆ
และจากแหล่งต่าง ๆ ของสังคม แล้วค่อย ๆ
ก่อตัวจนมีพลังถึงขั้นเกิดกระแสปฏิรูปการศึกษาเป็นระยะ ๆ
เมื่อมีแรงหนุนจากกระแสอื่น ๆ เช่น กระแสโลกาภิวัฒน์ กระแสปฏิรูปการเมือง
ก็จะมีพลังของกระแสมากขึ้น และในช่วงระยะ 2-5 ปี
ที่ผ่านมากระแสปฏิรูปการศึกษาได้ไหลหรือเคลื่อนเข้าไปในทุกวงการ เนื่องจากได้ปลุกกระแสการปฏิรูปการศึกษาควบคู่กับกระแสปฏิรูปการเมืองและทำให้เป็นประเด็นทางการเมืองนำไปสู่การออกกฎหมาย
และรัฐบาลนำมากำหนดเป็นวาระแห่งชาติ นั่นก็หมายความว่า ประชาชนทุกคน จะต้องมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาจนสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้
ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญของการพัฒนาประเทศโดยใช้ความรู้เป็นฐาน
และนำสู่เป้าหมายสูงสุดของประเทศ คือ การพัฒนาที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
ดังนั้นคนวงการศึกษาหรือที่สำคัญคือคนกระทรวงศึกษาธิการ จะต้องตระหนักถึงคุณค่าของกระแสปฏิรูปการศึกษา
และจะหลีกเลี่ยงไม่รับรู้หรือไม่รับผิดชอบต่อผลที่เกิดจากการปฏิรูปการศึกษาคงไม่ได้
วัฒนธรรมการทำงานแบบเดิมที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงจะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นตัวถ่วงความเจริญ
เป็นคนตกยุคและไม่ให้คนทั่วไปมองว่าคนวงการศึกษาไม่พัฒนา กลายเป็นครูที่รู้ไม่เท่าทันเด็ก
เพราะไม่พัฒนาตนเอง บางคนคิดว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนไม่มีใครเก่งเกิน ดีเกิน
เคยทำหรือสอนอย่างไรปัจจุบันก็ทำอย่างนั้นและยังคิดว่าไม่มีใครเก่งเท่าตนเอง และยังปิดกั้นตัวเองไม่รับรู้การเปลี่ยนแปลง
ใครคิดต่างก็กลายเป็นศัตรูทางความคิด และกีดขวางการคิด ไม่รับฟังความคิดคนอื่น
กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาปฏิรูปการศึกษา
ในกระแสปฏิรูปการศึกษาปัจจุบันมีหลายประเด็นที่นำไปสู่การสร้างกระแสสนับสนุนและกระแสคัดค้าน
เช่น
การสนับสนุนหรือคัดค้านความคิดของบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการเสนอกฎหมายเพื่อปฏิรูปโครงสร้างการบริหารการศึกษา
บางประเด็นมีเหตุมีผลของการเกิดกระแส
เนื่องจากประชาชนทั่วไปเข้าใจและมีส่วนได้ส่วนเสีย แต่บางประเด็นก็สร้างกระแสเพื่อมุ่งผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง
และนำไปสู่การชุมนุมคัดค้านหรือสนับสนุนบุคคลที่เกี่ยวข้อง
บางครั้งก็เป็นที่น่าเสียดาย(น่าละอาย)ที่คนในวงการศึกษาไม่ได้นำกระบวนการทางปัญญามาค้นหาทางเดินที่สร้างสรรค์
แต่ใช้กระบวนการแบบการเมืองมุ่งทำลายล้างบุคคลหรือองค์กรที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างหรือขัดผลประโยชน์ขององค์กรตนเองและที่น่าเสียดายมากกว่านั้นก็คือ
การปฏิรูปการเรียนรู้ ซึ่งเป็นหัวใจปฏิรูปการศึกษา ไม่ได้นำมาสร้างกระแส หรือ
ปลุกกระแสไม่ขึ้น เพราะประชาชนยังไม่เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญ
คนวงการศึกษา เข้าใจแต่มองไม่เห็นประโยชน์ที่ตนจะได้รับ
และมีความรู้สึกว่าเหนื่อยมากขึ้น มีภาระมากขึ้นจึงไม่สนใจ
เมื่อเกิดกระแสปฏิรูปการศึกษาที่มีพลังขับเคลื่อนจากทุกส่วนของสังคมน่าจะเป็นโอกาสของประเทศไทย
ที่จะนำการศึกษามาเป็นเครื่องมือหรือเป็นฐานในการพัฒนาประเทศทุกๆ ด้าน สิ่งแรกที่ควรต้องทำมากที่สุด
คือ ทำให้คนที่จะมาทำหน้าที่ให้การศึกษาหรือพัฒนาคนอื่นที่เรียกว่า นักการศึกษาอาจเป็นครูหรือคนสอนครู
ผู้บริหารทั้งระดับสูงและระดับไม่สูง นักวิชาการทั้งอาวุโสและไม่อาวุโส
นักวิชาการทั้งฝ่ายด่าและฝ่ายทำ ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น มีคุณภาพขึ้น
บางคนอาจถึงขั้นล้างสมองใหม่ เพื่อให้มีจิตสำนึกสาธารณะ
มีจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพมากขึ้น เป็นที่พึ่งของเด็กมากกว่าใช้เด็กเป็นที่พึ่ง
สร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับจากสังคม ให้ความสำคัญกับบุคลากรทางการศึกษา
เสมือนเป็นผู้ขับเคลื่อนระบบ
มากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งของระบบ(ปัจจัยนำเข้า)เพียงอย่างเดียว หมายความว่าจะต้องมีคนทางการศึกษาส่วนหนึ่งที่เป็นกลุ่มหัวกะทิ
มาทำหน้าที่ควบคุมและขับเคลื่อนระบบการศึกษา กลุ่มหัวกะทิที่ว่านี้ต้องเป็นผู้มีกรอบของความรู้ดีมีคุณธรรม (ไม่ใช่คนเก่งแต่โกง หรือซื่อสัตย์แต่ทำอะไรไม่เป็น) มีลักษณะเป็นนักประสานความคิดและมีบารมีพอที่จะกระตุ้นสังคมให้เกิดกระแสการมีส่วนร่วมจัดการศึกษา
กลุ่มหัวกะทิดังกล่าวอาจมาจากหลากหลายอาชีพไม่ว่าจะเป็นชาวนา พ่อค้า
ภูมิปัญญาท้องถิ่น นักวิชาการ ผู้บริหาร สื่อมวลชน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์สูงและเข้าใจปัญหาการศึกษาเป็นอย่างดี
ที่สำคัญคือมีประวัติการทำงานที่มุ่งประโยชน์ส่วนรวม
มีจิตสาธารณะ ไม่โกงภาษี คอรัปชั่น
หรือสร้างความร่ำรวยจากความเดือดร้อนของผู้อื่น ถ้าการปฏิรูปการศึกษาได้กลุ่มหัวกะทิที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมาช่วยดูแล
และประคับประคองกระบวนการปฏิรูปทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ
เชื่อได้ว่าการปฏิรูปการศึกษาจะก้าวสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งขณะนี้ก็มีนักการศึกษาและผู้บริหารการศึกษาหลายท่านคิดแนวทางนี้
โดยเสนอให้มีองค์กรในรูปแบบของสภาปฏิรูปการศึกษา
ต้องคอยติดตามว่าจะได้กลุ่มคนหัวกะทิแท้มาทำหน้าที่หรือไม่ ขอบันทึกความคิดของผู้เขียนเพื่อจะตีกันคนที่หัวกะทิไม่แท้(ไม่เก่งจริง)ว่า
อย่ามาทำหน้าที่ขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษาเลย เปิดโอกาสคนเก่งและเป็นหัวกะทิแท้มาคิดและทำบ้าง และขอเชิญชวนประชาชนที่มีส่วนได้เสียกับผลของการจัดการศึกษามาสร้างกระแสเพื่อกระตุ้นให้คนที่เก่งและเสียสละเพื่อส่วนรวมมาช่วยปฏิรูปการศึกษาให้เดินหน้าต่อไปและช่วยขัดขวางคนที่จะมาแสวงหาผลประโยชน์หรือนักวิชาการฝ่ายด่า
พูดไม่สร้างสรรค์ให้หลุดพ้นจากกระบวนการปฏิรูปการศึกษาทุกรูปแบบ
Copyright @ : 2001 Ministry of Education,
THAILAND
แหล่งข้อมูล : ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์
แหล่งข้อมูล : ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น